วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ลานวัดพุทธฉาย สระบุรี
ในบริเวณลานวัดพระพุทธฉายบนยอดเชาได้บูรณะซ่อมสร้างขึ้นใหม่ มีศาลาจตุรมุข ที่ประดิษฐานพระเชียงแสนซึ่งมีพุทธลักษณะงดงามมาก และพระปางทวาราวดี ต่อมาก็ได้สร้างพระปางอู่ทอง ประดิษฐานอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือพระปางเชียงแสน พร้อมด้วยวิหาร นอกจากนั้น ทางวัดยังได้จัดสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ อีกหลายประการ รวมทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สนามนั่งพักพาอาศัยสำหรับไว้เป็นที่สงบจิตใจสติอารมณ์เป็นอย่างดี
วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556
พระปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร
พระปั้นหย่า เป็นตึก ๓ ชั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รื้อมาจากสวนขวาในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มาสร้างเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงพระผนวช ต่อมาเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระผนวช และเสด็จมาประทับ ณ วัดนี้ ภายในพระปั้นหย่าแบ่งเป็น ห้องพระ ห้องพระบรรทม และห้องทรงพระอักษร
หน้าบันพระปั้นหยา เป็นลวดลายปั้นเคลือเถาดอกพุดตาน ล้อมรอบราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝีมือช่างไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระเจดีย์ใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหาร
พระเจดีย์ใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหารก่อพระฤกษ์เมื่อเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีเถาะ ตรีศก จ.ศ.๑๑๙๓ (วันเสาร์ที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๗๔) ในสมัยรัชกาลที่๓ และใช้เวลาก่อสร้างต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่๔ องค์พระเจดีย์มีสัณฐานกลม มีคูหาภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีทักษิณ ๒ ชั้นเป็นสี่เหลี่ยม ที่องค์พระเจดีย์มีซุ้มเป็นทางเข้าสู่คูหา ๔ ซุ้ม กลางคูหาพระเจดีย์ประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีพระเจดีย์องค์ประดิษฐานอยู่โดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก ๔ องค์ คือ ด้านตะวันตก พระไพรีพินาศเจดีย์ ด้านใต้ พระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา ๕ รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ด้านตะวันออก เป็นพระเจดีย์ไม้ปิดทอง ไม่ปรากฏประวัติ ด้านตะวันตก พระเจดีย์โลหะปิดทอง ไม่ปรากฏประวัติ
พระสุวรรณเขต วัดบวรนิเวศวิหาร
พระสุวรรณเขต
พระสุวรรณเขตหรือเรียกว่าหลวงพ่อโต หรือ “หลวงพ่อเพชร” คือพระประธานองค์ใหญ่ ตั้งอยู่ด้านในสุด เป็นพระประธานองค์แรกของพระอุโบสถนี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปโลหะ ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา หน้าตักกว้าง ๙ ศอก ๒๑ นิ้ว พระยาชำนิหัตถการได้ปั้นพอกพระศกให้มีขนาดดังที่เห็นในปัจจุบันแล้วลงรักปิดทอง ด้านข้างพระพุทธรูปองค์นี้มีพระอัครสาวกปูนปั้นหน้าตัก ๒ ศอก ข้างละ ๑ องค์
พระพุทธรูปวัดสระตะพานองค์นี้ เป็นพระหล่อ หน้าพระเพลา (ตัก) ๙ ศอก ๒๑ นิ้ว เป็นพระพุทธรูปโบราณ เรียกว่า พระโต แต่ นายอ่อน เจตนาแจ่ม ผู้รักษาพระอุโบสถเล่าว่า เคยได้ยินสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานิศรานุวัดติวงศ์ ตรัสกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า "พระโตองค์นี้ ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า "หลวงพ่อเพชรๆ" ชื่อท่านมีอยู่แล้วว่า "พระสุวรรณเขต" ไม่เรียก เมื่อเชิญมา รื้อออกเป็นท่อนๆ ตามรอยประสานเดิม อัญเชิญลงแพ มาคุมเข้าเป็นองค์เดิมอีก ลักษณะที่คุมเข้าใหม่เป็นฝีมือของช่างกรุงเทพฯ โดยมาก แต่ยังพอสังเกตได้ว่าเดิมเป็นลักษณะพระขอม พระศกของพระพุทธรูปนี้ เดิมโตอย่างของพระพุทธชินสีห์ พระยาชำนิหัตถการ นายช่างกรมพระราชวังบวรฯ เลาะออกเสีย ทำพระศกของพระโตนี้ใหม่ด้วยดินเผาให้เล็ก ตามที่เห็นว่างามในเวลานั้น ประดับเข้าที่แล้วลงรักปิดทอง พระองค์ใหญ่ มีพระสาวกใหญ่นั่งคู่หนึ่ง หน้าตักสองศอกถ้วนเป็นพระปั้น
พระพุทธวชิรญาณ วัดบวรนิเวศวิหาร
พระพุทธวชิรญาณ
เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราช ปางห้ามสมุทร ประดิษฐานตรงกลางหันพระพักตร์ไปทิศใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหล่อเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ ผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๑ อัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๘ พระพุทธรูปฉลองพระองค์นี้ได้นามตามพระบรมนามฉายา ขณะทรงผนวชว่า “วชิรญาโณ”
เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราช ปางห้ามสมุทร ประดิษฐานตรงกลางหันพระพักตร์ไปทิศใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหล่อเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ ผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๑ อัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๘ พระพุทธรูปฉลองพระองค์นี้ได้นามตามพระบรมนามฉายา ขณะทรงผนวชว่า “วชิรญาโณ”
หลวงพ่อดำ วัดบวรนิเวศวิหาร
พระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล
ประดิษฐานที่มุขด้านทิศตะวันออกของวิหารเก๋ง พระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล นี้ประชาชนส่วนใหญ่เรียกว่า “หลวงพ่อดำ” เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และเป็นที่บรรจุพระอังคาร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๔
ประดิษฐานที่มุขด้านทิศตะวันออกของวิหารเก๋ง พระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล นี้ประชาชนส่วนใหญ่เรียกว่า “หลวงพ่อดำ” เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และเป็นที่บรรจุพระอังคาร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๔
พระพุทธมนุสสนาค วัดบวรนิเวศวิหาร
พระพุทธมนุสสนาค เป็นพระพุทธรูปยืนครองจีวรคลุมทั้ง ๒ พระอังสา ประดิษฐานด้านสกัดทางทิศตะวันตกเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์และบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างนำมาประดิษฐานในพุทธศักราช ๒๔๗๓ พระพุทธรูปฉลองพระองค์นี้ได้นามตามพระนามฉายาของพระองค์ว่า “มนุสฺสนาโค
พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร
พระพุทธชินสีห์นับเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เสด็จมาถวายสักการบูชาในโอกาสต่างๆ เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางสถลมารคมานมัสการและถวายต้นไม้เงินและต้นไม้ทองเมื่อคราวประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระพุทธชินสีห์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแต่ครั้งสุโขทัย นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามมากที่สุดพระองค์หนึ่ง สมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงอัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาจากพระวิหารทิศเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก มาประดิษฐานไว้ในมุขหลังของพระอุโบสถ
พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ข้างหน้าพระพุทธสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๔ นิ้ว สองข้างพระพุทธชินสีห์มีรูปพระอัครสาวกคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่า สมเด็จพระธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย โปรดให้สร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับพระพุทธชินราช และ
พระศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร
เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๑ คืบ ๘ นิ้ว เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ให้อัญเชิญพระศาสดาจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัด ครั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญพระศาสดาจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ซึ่งเป็นวัดที่ท่านสร้างขึ้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบและมีพระราชดำริว่า พระศาสดานั้นสร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพทรงให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร พระศาสดาก็ควรประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหารที่เดียวกับพระพุทธชินสีห์ เป็นเสมือนพระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์ แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐาน จึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามไปพลางก่อนเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๖ ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญพระศาสดามาประดิษฐาน เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๗
เกร็ดพาหุงมหากาฯ
ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของพบพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตาม พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
หมายเหตุ ในความคิดของผู้เขียนเชื่อว่าการสวดมนต์มิได้เป็นการบันดาลให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ แต่พลังเกิดจากสมาธิ และจิตใจที่แน่วแน่ดังนั้นควรสวดมนต์ด้วยจิตที่แน่วแน่และมีสมาธิจึงจะได้ผล
ฮูบแต้มวัดภูมินทร์ น่าน ความหวานที่ต้องไปพิสูจน์
![]() |
| ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ที่คนรุ่นใหม่เรียกว่าว่า "กระซิบรัก" |
ปู่ม่าน ย่าม่าน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังหรือ “ฮูบแต้ม”ในวัดภูมินทร์ส่วนใหญ่จะเป็น ชาดกในพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น และมีภาพเด่นที่พลาดไม่ได้อยู่หลายภาพ หนึ่งในนั้นคือ ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน กระซิบสนทนากันด้วยแววตาสื่อถึงภาษาใจ ที่ดูแล้วให้อารมณ์โรแมนติค จนคนรุ่นใหม่ตั้งชื่อว่า"กระซิบรัก" ภาพนี้นอกจากสวยงามให้ความรู้สึกร่วมแล้ว ยังทำให้มองย้อนไปในอดีตของชาวไตลื้อที่มีค่านิยม ผู้ชายสักหมึก ซึ่งแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย เพราะต้องอดทนต่อความเจ็บปวด เพราะการสักหมึกในอดีตนั้นเจ็บปวดและอาจต้องนอนซมเพราะพิษไข้หลายวันเลยทีเดียว ดังนั้นบางคนจึงต้องดื่มเหล้าขาวหรือสูบฝิ่นระหว่างการสักเพื่อลดความเจ็บปวด หากชายใดไม่มีรอยสักก็จะไม่มีผู้หญิงยอมแต่งงานด้วยเพราะเชื่อว่าไม่มีความอดทน ส่วนผู้หญิง แต่งกายแบบไตลื้ออย่างสวยงามเต็มยศและหากอยากได้อารมณ์ในการดูภาพ อย่าลืมให้น้องมัคคุเทศน์บรรยายความรักเป็นคำเมืองด้วยสำเนียงเสียงชาวน่านตามท่วงทำนองของบทกวีเมืองเหนือรับรองว่าคุณจะไม่ลืมภาพนี้เด็ดขาด แนะนำพิเศษสำหรับคู่รักควรไปชมและฟังอย่างยิ่ง แล้วคุณจะจำเมืองเล็กที่แสนหวานนี้ไปอีกนาน
กำฮักน้องกูปี้จั๊กเอาไว้ในน้ำก็กั๋วหนาว
จั๊กเอาไว้ปื้นอากาศกลางหาว
ก็กั๋วหมอกเหมยซ่อนดาวลงมาขะลุ้ม
จั๊กเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม
ก็กั๋วเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวจายปี้นี้
จั๊กหื้อมันไห้ อะฮิ อะฮี้
ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…
จั๊กเอาไว้ปื้นอากาศกลางหาว
ก็กั๋วหมอกเหมยซ่อนดาวลงมาขะลุ้ม
จั๊กเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม
ก็กั๋วเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวจายปี้นี้
จั๊กหื้อมันไห้ อะฮิ อะฮี้
ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…
แปลได้ว่า “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
หญิงสูงศักดิ์ ในวัดภูมินทร์ น่าน
![]() |
| ภาพหญิงสูงศักดิ์ |
หญิงสูงศักดิ์
การสูบบุหรี่ขี้โยสมัยก่อนเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงชั้นสูงไม่ได้ถือเป็นเรื่องไม่ดี แต่ปัจจุบันนี้จะไม่สูบกันแล้ว แต่อาจพบได้ในชนบท เป็นผู้หญิงในวัยกลางคนหรือหญิงสูงอายุ บุหรี่ขี้โยที่นิยมมักมวนด้วยกาบข้าวโพดหรือใบตองแห้งรีดให้เรียบและใช้ยางมะตูมทาใบตองให้ติดกัน ส่วนไส้ในก็ทำมาจากเปลือกมะขามผสมกับใบยาสูบ
ดูภาพแล้วอย่าลืมไหว้พระทำบุญนะครับเพราะวัดนี้อยู่มาเป็นร้อยปีและเป็นหนึ่งในแหล่งรวมศรัทธาของชาวน่าน หากใครมาน่านไม่ได้ไหว้พระที่นี่ก็เรียกว่ามาไม่ถึงเมืองน่าน
วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556
โมนาลิซ่าเมืองน่าน
![]() |
| สาวน่าน งามวิไลเลิศล้ำ |
น่าเสียดายที่หน้าอกของนางกระดำกระด่างไปด้วยรอยจับถูของผู้มาเยี่ยม ที่จับต้องเพื่อยืนยันความ "งาม วิไล เลิศล้ำ" ก็ขอฝากทุกท่านที่มามาทำบุญและเยี่ยมชมช่วยกันรักษา ความงามไว้ให้ลูกหลานได้ชมด้วย เพราะถ้าเขียนรูปใหม่หรือเขียนซ่อมมันจะให้คุณค่าทางจิตใจที่ด้อยลงคนที่มาทีหลังก็อยากเห็นต้นฉบับกันทุกคน
วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556
บิณฑบาต
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)











